เริ่มต้นวันด้วยการเดินทางไป Museum-Reserve Tsaritsyno (ไม่เข้าใจคำว่า museum-reserve ข้างหน้าเหมือนกัน) รู้แต่ว่าในสมัยพระนางแคทเธอรีนที่ 2 ได้ตั้งใจสร้างที่นี่ขึ้นเพื่อใช้เป็นพระราชวัง แต่พระนางสิ้นประชนม์เสียก่อน ทำให้การก่อสร้างสะดุดลงและถูกปล่อยทิ้งร้างไว้อย่างนั้น ทำให้สถานที่นี้ไม่เคยถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าเชื้อพระวงศ์จริงๆ เลย จนกระทั่งในปี 2005-2007 ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินได้สั่งให้มีการฟื้นฟูอาคารเก่าแก่หลายแห่ง ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ได้รับการบูรณะและจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นในที่สุด โดยจัดแสดงนิทรรศการเพื่อบอกเล่าความเป็นมาของสถานที่ รวมถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งยังมีการปกครองระบอบพระมหากษัตริย์อยู่
Pentax MX with Kodak color plus 200
ถ้าใครได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซีย มีความรู้และสามารถไล่ลำดับซาร์และซาริน่าของรัสเซียได้ จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการเที่ยวได้อีกมาก เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้น ไม่มากก็น้อยในอดีตต้องเคยเป็นที่พักอาศัยของบรรดาเชื้อพระวงศ์มาก่อน การที่เรามีความรู้เรื่องเหตุการณ์หรือความสัมพันธ์ในอดีต จะช่วยให้เราเข้าใจ สนุกและอินไปกับสถานที่นั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
ความยากคือชื่อของซาร์และซาริน่าแต่ละพระองค์นั้นซ้ำกันเต็มไปหมด เช่น พระเจ้าปีเตอร์ ก็ดันมีปีเตอร์หลายพระองค์ เช่น ปีเตอร์ที่ 1 หรือปีเตอร์ที่ 2 ซึ่งดันมีพระชายาชื่อพระนางแคทเธอรีนเหมือนกันอีก หรือพระเจ้า Alexander ก็อภิเษกสมรสกับพระราชินีชื่อ Maria เหมือนกันตั้งสองคู่ สร้างความสับสนว่าตกลงใครเป็นใครกันแน่ วังนี้หรือวังนั้นสร้างขึ้นในสมัยของใคร แต่ถ้าไล่ลำดับได้เมื่อไหร่ จะเริ่มเข้าใจในความสัมพันธ์และเหตุการณ์ในช่วงนั้นๆ ได้ดี ทำให้ความสวยงามของแต่ละสถานที่นั้นมีความหมาย และง่ายต่อการจดจำมากยิ่งขึ้น
Pentax MX with Kodak color 200
การเดินทางมายัง Tsaritsyno แห่งนี้ไม่ยาก (บางคนก็ออกเสียงว่า ซาริซิน่า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจริงๆ อ่านว่าอย่างไร) เพียงแค่มาลงรถไฟใต้ดินสถานีชื่อเดียวกัน Tsaritsyno สายสีเขียว ซึ่งค่อนข้างอยู่ไกลออกไปนอกตัวเมืองมอสโก
เมื่อมาถึงก็จะพบกับพื้นที่โล่งกว้างที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติ ทั้งแม่น้ำที่โอบล้อมตัวปราสาท สะพานหลายเส้นที่ใช้ข้ามเข้าไป เริ่มเข้าใจแล้วที่พี่คนไทยเมื่อวานบอกว่าเราไม่สามารถใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันกับที่นี่ได้ เพราะเพียงแค่ถ่ายรูปด้านนอกก็กินเวลาไปมากแล้ว ก็ทั้งธรรมชาติ ทั้งอาคารที่สร้างขึ้นมานั้นสวยมาก จนหมดฟิล์มไปเป็นม้วนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าไปดูในตัวพิพิธภัณฑ์เลย
Lomo LC-A with Kodak pro image 100
Pentax MX with Kodak color plus 200
ในบริเวณซาริซิน่าแห่งนี้มีลักษณะเป็นเหมือนป้อมปราการ มีปราสาทและอาคารหลายหลังอยู่รวมกัน ถ้าจ่าย 700 รูเบิลจะสามารถเข้าอาคารได้ทุกแห่ง แต่ถ้าจ่าย 350 รูเบิลจะเข้าชมได้เฉพาะตัวพิพิธภัณฑ์ (grand palace) และห้องครัว (bread house) เท่านั้น ซึ่งเราเลือกอย่างหลังเพราะคิดว่าคงไม่มีเวลาดูได้ครบทั้งหมด ซึ่งก็จริง แถมในห้องนิทรรศการที่ดูน่าสนใจนั้นดันมีแต่ภาษารัสเซียเป็นส่วนมาก เลยได้แต่เดินผ่านๆ ไป
จนมาเจอห้องนิทรรศการที่เล่าเรื่องราวในอดีตของ Alexander Palace ซึ่งเป็นวังหนึ่งในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตอนแรกก็งงว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ แต่เมื่อได้ไปเที่ยว Catherine Palace ที่เป็นพระราชวังใหญ่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจึงถึงบางอ้อว่า Alexander Palace ตอนนี้กำลังปิดปรับปรุงอยู่ เลยย้ายเนื้อหามาจัดแสดงไว้ที่นี่แทน
Pentax MX with Kodak color plus 200
ซึ่งเนื้อหาด้านในนั้นเข้าใจไม่ยากและน่าสนใจมากทีเดียว โดยเล่าถึงบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่เคยอาศัยอยู่ที่ Alexander Palace ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวังที่ใช้สำหรับแปรพระราชฐาน หรือใช้เพื่อการพักผ่อน จุดที่เรารู้สึกเชื่อมโยงได้ง่ายที่สุดคือเรื่องราวของซาร์องค์สุดท้ายแห่งจักรวรรดิรัสเซีย พระเจ้านิโคลัสที่ 2 เรื่องราวของครอบครัวพระองค์จัดแสดงอยู่หลายห้อง แต่ห้องที่สะเทือนใจที่สุดหนีไม่พ้นห้อง Tsar’s Children หรือลูกๆ ของพระองค์ ที่ในภาษารัสเซียเรียกว่า ซาโรวิสและซาโรวิสซิน่า ที่แปลว่าลูกของซาร์นั่นเอง
ลูกๆ ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ในที่นี้ได้แก่ เจ้าหญิงโอลก้า เจ้าหญิงทาเทียน่า เจ้าหญิงมาเรีย เจ้าหญิงอนาสตาเซีย และมกุฎราชกุมารองค์สุดท้ายของรัสเซีย เจ้าชายอเล็กเซ ผู้ป่วยตั้งแต่ประสูติด้วยโรคฮีโมฟีเลียซึ่งเป็นภาวะของการเลือดไหลไม่หยุด ทำให้พระองค์ไม่แข็งแรงและทรงป่วยตลอดระยะเวลาพระชนม์ชีพ อันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้รัสปูตินเข้ามามีบทบาทในราชสำนักรัสเซีย และเป็นเหตุให้ราชวงศ์รัสเซียถึงจุดจบในที่สุด
ที่บอกว่าห้องนี้สะเทือนใจที่สุด เป็นเพราะความไร้เดียงสาของเด็กๆ ที่ถ่ายทอดผ่านโฮมวีดีโอ การจัดแสดงของเล่น ชุดที่เคยสวมใส่ ตลอดจนจดหมายและการ์ดต่างๆ ที่เจ้าหญิงและเจ้าชายเคยทรงเขียนขึ้น อดีตที่แสนอบอุ่นของครอบครัวที่กำลังจะถึงจุดจบในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า ภาพที่เห็นตรงนี้ไร้ซึ่งลางร้ายของความรุนแรงที่ต้องเผชิญ นึกแล้วก็สงสาร ที่เจ้าหญิงและเจ้าชายองค์น้อยๆ เหล่านี้ต้องประสบชะตาชีวิตที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องพบจุดจบตั้งแต่เยาว์วัยโดยไม่มีโอกาสเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต
Pentax MX with Kodak color plus 200
หลังจากดูนิทรรศการในอาคาร Grand Palace เสร็จก็เดินไปต่อที่ Bread house ที่เชื่อมต่อกัน ด้านในเป็นการรวบรวมงานจิตรกรรม ภาพเขียนต่างๆ ทั้งพอตเทรตและแลนด์สเคปของศิลปินชาวรัสเซียไว้มากมาย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาทางประวัติศาสตร์เท่าไหร่ เราจึงเลือกที่จะชมอย่างเร็วๆ เพราะวันนี้ยังมีสถานที่ที่เตรียมจะไปต่ออีก
สุดท้ายก็ได้เวลาออกจากซาริซิน่าแห่งนี้ โดยรวมแล้วก็ประทับใจในความสวยงามของอาคารต่างๆ และบรรยากาศโดยรอบ จะเห็นว่าชาวรัสเซียเองก็ให้ความสนใจพาครอบครัวมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ในวันหยุด และใช้ประโยชน์ของบริเวณโดยรอบในการพักผ่อนหย่อนใจ เราจะเห็นภาพพ่อแม่เข็นรถเข็นเด็กในทุกที่ แต่ลูกๆ นั้นจะลงมาเดิน วิ่งเล่น และเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ท่ามกลางอากาศที่แสนจะหนาวเย็นนั้นดูจะไม่เป็นอุปสรรคของเด็กรัสเซียเท่าไหร่เลย
Lomo LC-A with Kodak pro image 100
Pentax MX with Kodak color plus 200
เราออกมาขึ้นเมโทรเพื่อไปลงที่ป้าย Kolomenskaya สายสีเขียวเช่นกัน เพื่อต่อไปยัง Kolomenskoye สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของกลุ่มอาคารโบราณ ซึ่งในอดีตใช้เป็นที่พักและอาสนวิหารของเหล่าสมาชิกในราชวงศ์
ถ้าลงเมโทรป้ายนี้เลยจะเจอกับกลุ่มอาคารที่บอก ซึ่งสามารถเข้าชมได้โดยการซื้อตั๋วแยกเป็นจุดๆ ไป อยากชมที่ไหนก็ซื้อที่นั่น ด้านหน้าอาคารที่จะเข้าเลย ไม่มีตั๋วรวมเข้าได้ทุกที่ แต่หลังจากลองเดินสำรวจรอบๆ เรารู้สึกว่าไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ พอดีว่าในแผนที่ที่ได้มายังมีอาคารอีกหลังหนึ่งซึ่งน่าสนใจกว่าชื่อ Palace of Tsar Alexey Mikhailovich (หลังจบทริปต้องไปซื้อหนังสือมานั่งไล่อ่านว่าใครมาก่อนมาหลัง) ด้วยหน้าตาอาคารดูสวยแปลกตา แต่ดันมองหาไม่เจอในระยะใกล้ๆ จึงเข้าไปถามที่ตู้ขายตั๋วและได้คำตอบว่าอยู่ไกลมาก ต้องเดินข้ามสวนสาธารณะไปอีกฝั่งหนึ่ง ทางออกก็คือย้อนกลับไปขึ้นเมโทรและนั่งไปอีกป้ายหนึ่งจะดีกว่า
Pentax MX with Kodak color plus 200
สุดท้ายตัดสินใจเดินย้อนกลับไปขึ้นเมโทรป้าย Kolomenskaya (คำว่า skaya แปลว่า station) และมาลงป้ายถัดไปที่ชื่อ Kashirskaya เดินต่ออีกนิดเดียวก็จะเจออาคารไม้ loft cabin ที่มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งสามารถเข้าชมได้ในราคา 350 รูเบิล และถ้าอยากถ่ายรูปด้านในต้องจ่ายเงินเพิ่ม 70 รูเบิลจะได้บัตรห้อยคอที่เขียนว่า ถ่ายรูปได้โดยไม่ใช้แฟลชติดมา ตอนแรกไม่คิดว่าด้านในจะมีอะไรมากเลยไม่ได้จ่ายเงินค่าถ่ายรูป ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่พลาดที่สุดในทริป เพราะด้านในนั้นบอกได้คำเดียวว่าเจ๋งมาก
ด้านนอกว่าสวยแล้ว ด้านในประทับใจยิ่งกว่า ถือว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ประทับใจที่สุดในทริปเลยก็ว่าได้ (แต่รองจาก Faberge Museum หน่อยแล้วกัน) เป็นเพราะความไม่คาดหวัง เลยได้มาเจอกับอะไรที่ประทับใจสุดๆ เสียอย่างเดียวตรงที่มีภาษาอังกฤษหน่อยไปนิด ถ้าสมมติเราเป็นคนรัสเซียที่เข้าใจทุกอย่าง และมีความรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศตัวเองอยู่แล้วด้วยคงสนุกมาก
ทางด้านในลึกลับซับซ้อน เกิดจากการปรับปรุงอาคารเก่าที่เคยเป็นวังของซาร์อเล็กเซ (ที่ก็ไม่แน่ใจว่าลูกหลานใครเหมือนกัน) มาเล่าใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัย โดยเก็บรายละเอียดและร่องรอยทางวัฒนธรรมไว้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นแท่นบัลลังก์ของจริง เครื่องทำความร้อนแบบที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ หรือการจัดแสดงห้องหับต่างๆ ประทับใจที่สามารถเล่าชีวิตความเป็นอยู่ของกษัตริย์ในอดีตให้อยู่ในรูปแบบที่จับต้องได้ โดยผู้เข้าชมรู้สึกว่าสนุกตลอดการเข้าชม ยิ่งเส้นทางเดินนี่ต้องมีคนคอยบอกทางให้ตลอดเพราะลึกลับมาก ไม่อย่างนั้นมีหลงทางแน่ๆ อาคารหลังไม่ใหญ่แต่กลับเก็บรายละเอียดไว้ได้ทุกมุมแบบนี้ แค่เดินดูทุกห้องแบบไม่ต้องเข้าใจก็เพลินแล้ว ใครมีโอกาสอยากให้แวะไปดู แนะนำเลยว่าควรซื้อบัตรสำหรับถ่ายรูปได้ติดไปด้วย ไม่งั้นจะต้องมานั่งเสียใจและเสียดายแบบเราในตอนนี้
Pentax MX with Fuji color 100
ปล. ห้องน้ำแบบที่เป็นตู้คอนเทนเนอร์ด้านนอกอาคารที่ดูไม่น่าไว้ใจนั้นดีกว่าที่คิด ทั้งขนาดด้านในที่กว้างมาก มีกระดาษทิชชูและอ่างล้างมืออย่างดี แถมสะอาดมากๆ เลยด้วย!
One Comment Add yours