A McQueen’s tale

เชื่อว่าไม่มีนักเรียนแฟชั่นคนไหนไม่เคยได้ยินชื่อ Alexander McQueen (อเล็กซานเดอร์ แมคควีน) เด็กหนุ่มชนชั้นกลางจากกรุงลอนดอน ที่ใช้ความสามารถและความลุ่มหลงในการตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้สึก ความอัดอั้นตันใจ และตัวตนที่ถูกเก็บซ่อนไว้ เพื่อรอวันปะทุและระเบิดสู่สายตาสาธารณชน เป็นเวลากว่า 10 ปีที่แมคควีนโลดแล่นอยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น สร้างชื่อเสียงระดับโลกและเป็นที่ยอมรับในแวดวงแฟชั่นชั้นสูง แต่เขากลับปลิดชีวิตตนเองลงในวันที่สูญเสียคนที่รักที่สุดไป

นี่คือเรื่องราวของ Lee Alexander McQueen ผ่านภาพยนตร์สารคดีที่บอกเล่าตัวตนของเขา

McQueen-copertina(1)

“แบรนด์ของผมก็จะตายไปพร้อมกับผมนี่ล่ะ”

“เพราะคอลเลคชั่นของผมเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ถ้าไม่ใช่ผม แล้วใครจะทำออกมาได้”

เมื่อถูกถามถึงการรับช่วงต่อแบรนด์ภายใต้ชื่อของเขา อเล็กซานเดอร์ แมคควีนเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “แบรนด์จะตายไปพร้อมกับผม” แต่หลังจากเขาเสียชีวิตไปแล้ว 8 ปี ปัจจุบันแบรนด์ Alexander McQueen ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นชั้นนำภายใต้การดูแลของ Creative Director คนปัจจุบัน Sarah Burton อดีตมือขวาของแมคควีนเอง

 

“I always wanted to be a designer.
I read books on fashion from the age of 12.

 

ในวัยเด็ก การศึกษาดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ชี้วัดความสำเร็จของเด็กแต่ละคน แต่ไม่ใช่กับแมคควีนเพราะเขาตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 16 ปี ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่เขากลับมีความสนใจและความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าทางศิลปะและการออกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย

แมคควีนสมัครเข้าฝึกงานตามคำแนะนำของมารดาที่ Savile Row สถานที่รับตัดสูทแบบ tailor-made (สั่งตัดเฉพาะบุคคล) ใจกลางกรุงลอนดอน ที่ๆ ทำให้เขาได้ฝึกปรือฝีมือและเรียนรู้การตัดเย็บตามแบบธรรมเนียมปฏิบัติอย่างถูกต้อง จนแมคควีนมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการตัดเย็บและทำแพทเทิร์นเสื้อผ้าอย่างสูง ทำให้เขาสามารถเนรมิตสิ่งต่างๆ ที่คิดให้ออกมาสวมใส่อยู่บนร่างกายได้จริง

 

mcqueen-3alexander-mcqueen-doc

 

You’ve got to know the rules to break them.
That’s what I’m here for,
to demolish the rules but keep the tradition”.

 

หลังจากนั้นแมคควีนก็เข้าเรียนต่อและสำเร็จการศึกษาจาก Central Saint Martins มหาวิทยาลัยศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ สถานที่ที่ทำให้ชื่อและผลงานของเขาไปเตะตาผู้หญิงที่ชื่อ Isabella Blow (อิซเบลล่า โบลว์) เข้าอย่างจัง และเป็นเธอคนนี้ที่พาเขาก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นอย่างเต็มตัว

โบลว์ทำงานให้กับนิตยสาร Vogue และตัวเธอเองก็เป็นแฟชั่นไอคอนคนสำคัญของวงการ จากรสนิยมการแต่งตัวที่ไม่เหมือนใคร ความกล้าที่จะแตกต่างทำให้เธอโดดเด่นและเป็นที่จับตามอง ในปี 1992 โบลว์มีโอกาสได้ดูโชว์จบการศึกษาของนักเรียน Central Saint Martins และติดใจคอลเลคชั่น Jack The Ripper Stalks His Victims ของแมคควีนเป็นอย่างมากจนเหมาซื้อทั้งหมด อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองได้รู้จัก และพัฒนาความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นโบลว์อีกเช่นกันที่แนะนำให้แมคควีนตัดชื่อจริงของเขาทิ้ง และใช้เฉพาะชื่อกลางกับนามสกุลเป็นชื่อแบรนด์แทน จะเรียกว่าเธอเป็นผู้ให้กำเนิด Alexander McQueen สู่โลกแฟชั่นก็ไม่ผิดนัก

 

506716-isabella-blow-et-alexander-mcqueen-950x0-2Opener-Alexander-and-Isabella

 

“Fashion can be really racist,
looking at the clothes of other cultures as costumes”

 

ผลงานของแมคควีนเป็นที่รู้จักและโด่งดังด้วยลักษณะเฉพาะตัวที่มีกลิ่นอายของละครเวที ฉาก แสง สี เสียงและการสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชมในแต่ละโชว์ มักถูกรังสรรค์ขึ้นมาราวกับใช้เวทมนตร์ แต่ถึงแม้เสื้อผ้าของแมคควีนจะน่าสนใจเพียงใด ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำโชว์แต่ละครั้งของเขาก็มีเสน่ห์และเป็นที่ต้องการไม่แพ้กัน จนผู้คนในวงการแฟชั่นต่างแย่งชิงเพื่อที่จะได้นั่ง front row และรอชมสิ่งที่แมคควีนเตรียมไว้เซอร์ไพรส์พวกเขา

 

 

Fashion should be a form of escapism,
and not a form of imprisonment.

 

full_from_McQueenMCQ_18-c-Ann-Ray-1000x500

ในขณะที่แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานแต่ละคอลเลคชั่นนั้นมักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับแมคควีนเสมอ เพราะเขามักจะใช้ความรู้สึกส่วนตัว หรือเหตุการณ์ในอดีตมาเล่าในรูปแบบใหม่ ที่แม้แต่ตัวเขาเองยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า “หากคุณต้องการรู้จักตัวตนของผม ให้ดูที่งานของผม”

และเนื่องจากเขามีความคาดหวังอย่างแรงกล้าต่ออารมณ์ของผู้ชม แมคควีนจึงทุ่มเทสร้างสรรค์โชว์ทุกครั้งอย่างเต็มความสามารถ อย่างที่ตัวเขาเองได้กล่าวไว้ว่า “ผมอยากให้หลังโชว์จบลง คุณก้าวออกมาด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ตกค้างอยู่ ไม่ว่าคุณจะชอบมันมากหรืออาจจะเกลียดมันไปเลยก็ได้ แต่ตราบใดที่คุณเกิดความรู้สึกผมจะถือว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองสำเร็จลุล่วงแล้ว”

Alexander-McQueen-Documentary-1200x5205b5114c67dca9-fw432i105

ในภาพยนตร์สารคดี McQueen ที่ออกฉายในปี 2018 นี้ว่าด้วยประวัติความเป็นมาของทั้งตัวแมคควีนและการก่อร่างสร้างแบรนด์ของเขา โดยถูกแบ่งออกเป็นแต่ละช่วงตอนด้วยคอลเลคชั่นที่น่าจดจำ ตั้งแต่สมัยแมคควีนยังเป็นนักศึกษาจบใหม่ไม่มีเงินทุน ไปจนถึงการได้รับคัดเลือกเป็น Creative Director ให้กับแบรนด์ฝรั่งเศสที่มีประวัติมายาวนานอย่าง Givenchy และสุดท้ายการที่เขาได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อ Gucci Group เข้าซื้อแบรนด์ Alexander McQueen ทำให้เขาสามารถถ่ายทอดความบ้าคลั่งออกมาได้ในแต่ละโชว์ หนึ่งในนั้นคือคอลเลคชั่นในตำนานที่มีชื่อว่า VOSS

 

“I think there is beauty in everything.
What ‘normal’ people would perceive as ugly,
I can usually see something of beauty in it.”

 

 

VOSS คือชื่อคอลเลคชั่น Spring/Summer ในปี 2001 หนึ่งในโชว์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Alexander McQueen และเป็นหมุดหมายสำคัญของแบรนด์ในการสร้างตัวตนและทิศทางการนำเสนอแนวความคิดทางศิลปะสู่สาธารณชน เพราะ VOSS ได้ทำหน้าที่มากกว่าการเป็นแค่คอลเลคชั่นเสื้อผ้า มากกว่าแฟชั่นโชว์ และมีมูลค่ามากกว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนในอุตสาหกรรมแฟชั่น

 

Alexander-McQueen-SS01-Voss_1

Catwalking.com
Alexander Mcqueen Spring Summer 2001 Copyright Catwalking.com ‘One Time Only’ publication

 

“I like to think of myself as a plastic surgeon with a knife”

 

แต่ VOSS คือการปาระเบิดลูกใหญ่เข้าใส่วงการ ด้วยการตั้งคำถามถึงความงามตาม “รูปแบบประเพณีนิยม” ที่ผู้คนในแวดวงแฟชั่นกำลังขับเคลื่อนกันอยู่ แมคควีนนำเสนอความอัปลักษณ์ ความผิดปรกติของผู้ป่วยทางจิต ผ่านการใช้พื้นที่เสมือนจริงของโรงพยาบาลจิตเวท สร้างสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ ด้วยการปล่อยให้ผู้ชมนั่งประจันหน้ากับกล่องกระจกขนาดใหญ่ที่มองสะท้อนเห็นตนเองเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนโชว์เริ่ม

อีกทั้งยังทำลายรูปแบบเดิมๆ ของแฟชั่นโชว์ด้วยการนำคนธรรมดาที่มีรูปลักษณ์ “ไม่สวยงาม” หรือ “ไม่สมบูรณ์แบบ” มาร่วมแสดงบนรันเวย์ โดยเป็นการจำลองภาพถ่าย Sanitarium ของ Joel-Peter Witkin ในเซอร์ไพรส์สุดท้ายขณะที่ทุกคนคิดว่าโชว์จบลงแล้ว

 

1135033

 

“People find my things sometimes aggressive.
But I don’t see it as aggressive. I see it as romantic,
dealing with the dark side of personality”

 

แต่ถึงแม้แมคควีนจะดูหมกหมุ่นและมีความขบถในตัวมากเพียงใด ชีวิตส่วนตัวเขากลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มแสนอ่อนไหวที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเพื่อนและคนในครอบครัว แม้กระทั่งกับสัตว์เลี้ยงของเขาเองก็เช่นกัน โดยแมคควีนเคยสร้างสรรค์คอลเลคชั่นที่อุทิศให้กับสุนัขตัวโปรดมาแล้ว

สารคดีนี้ใช้การเล่าเรื่องโดย footage ในวันที่ตัวเขายังมีชีวิตอยู่ สลับไปกับบทสัมภาษณ์อดีตเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท และสมาชิกในครอบครัวแมคควีนหลายคน โดยหนึ่งในนั้นได้กล่าวว่า ในระยะหลังแมคควีนมีความเครียดจากการทำงานอย่างเห็นได้ชัด จนปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอาจคิดถึงเรื่องความตายอยู่ในหัวบ้างไม่มากก็น้อย

โดย Sebastian Pons หนึ่งในอดีตเพื่อนร่วมงานตั้งแต่ยุคแรกของแมคควีนยังอดสังเกตไม่ได้ จนเขาได้แสดงความคิดเห็นในสารคดีว่า “หากลีไม่คิดจะฆ่าตัวตายมาก่อน แล้วทำไมคอลเลคชั่นสุดท้ายจึงเป็นคอลเลคชั่นที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา” ซึ่งคอลเลคชั่นดังกล่าวเป็นการรวบรวมทุกสิ่งที่เป็นแมคควีน จนเรียกได้ว่าเป็นบทสรุปที่สมบูรณ์แบบที่สุด เป็นผลงานมาสเตอร์พีซที่มีชื่อว่า Plato’s Atlantis

 

 

“There is no way back for me now.
I am going to take you on journeys
you’ve never dreamed were possible.”

 

Plato’s Atlantis ข้ามผ่านความงามตามสรีระของมนุษย์หรือสุภาพสตรีไปสู่กายภาพของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าแมลง ผีเสื้อ รายละเอียดและสีสันต่างๆ ที่เคยมีขนาดเล็กจิ๋วถูกนำมาขยายใหญ่และเรียงลำดับความน่าสนใจบนเรือนร่างของมนุษย์แทน แมคควีนนำเสนอความงามที่อาจไม่เคยได้รับความสนใจ กระตุ้นให้มนุษย์ผู้สวมใส่คำนึงถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่ถูกละเลย และอาจสูญหายไปในไม่ช้าหากมนุษย์ยังคงทำร้ายธรรมชาติอย่างต่อเนื่องเช่นทุกวันนี้

อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคู่กัน ทั้งบนรันเวย์อย่างหุ่นยนต์สองตัว และเทคนิคการสร้างสรรค์รองเท้าด้วย 3D printer แมคควีนเป็นคนชอบทดลองและแหกขนบธรรมเนียมเดิมๆ อยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่เทคโนโลยีจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาโปรดปราน เพราะเขาไม่เคยหยุดอยู่กับที่แต่พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

 

1182840

 

“I want people to be afraid of the women I dress.”

 

จากผลงานในแต่ละซีซั่นที่สามารถเซอร์ไพรส์คนดูได้เสมอ แมคควีนได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะของวงการ กระทั่งดีไซน์เนอร์ที่มีประสบการณ์มากกว่ายังออกมาชื่นชมเขา แต่สำหรับตัวแมคควีนเอง เขาไม่เคยให้ความสำคัญและทุ่มเทกับอะไรไปมากกว่างานที่เขาทำ และบุคคลที่เขารัก จึงไม่แปลกใจที่เมื่อคุณแม่ที่เขารักที่สุดเสียชีวิตลง แมคควีนจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองตามไปในคืนก่อนงานศพของเธอ

นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของวงการแฟชั่น การเสียชีวิตของแมคควีนกลายเป็นข่าวช็อคชั่วข้ามคืน เพื่อนสนิทของเขาหลายคนยังไม่เชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง แมคควีนมีพรสวรรค์ มีชื่อเสียงเงินทอง เป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก เขามีทุกอย่างที่คนๆ หนึ่งพึงอยากมี แต่เมื่อเขาขับเคลื่อนตัวเองด้วยอารมณ์และความรู้สึกเสมอมา จึงไม่แปลกเมื่อในวันที่คนที่รักที่สุดได้จากไป เขาจึงรู้สึกราวกับไม่เหลืออะไรเลย

la-1531859844-332bd4p2pk-snap-image

หลังจากแมคควีนเสียชีวิตลง แบรนด์ของเขายังคงดำเนินต่อไปภายใต้การกุมบังเหียนของ Creative Director คนใหม่ ซาร่า เบอร์ตัน อดีตนักศึกษาฝึกงานและมือขวาของแมคควีน สื่อต่างจับตามองเสียงตอบรับที่จะเกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลง ซาร่าแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นเพียงเด็กสาวที่อยู่ข้างหลังแมคควีนอีกต่อไปแล้ว ผลงานของเธอได้รับเสียงชื่นชมในเชิงบวก และได้รับแรงสนับสนุนมากมายจากแฟนๆ ทั้งหมดเป็นเพราะซาร่าเข้าใจตัวตนของแบรนด์อย่างถ่องแท้ สามารถนำเสนอแง่มุมที่อ่อนหวานของแมคควีนออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ จนได้รับความไว้วางใจให้ตัดเย็บชุดแต่งงานให้กับเคท มิดเดิลตันในปี 2011

shutterstock_editorial_1310804a_huge0313ILST15-web

ภายในปีเดียวกัน The Metropolitan Museum หรือ The Met ได้จัดนิทรรศการเพื่อระลึกถึงแมคควีนในชื่อ Savage Beauty ซึ่งนิทรรศการดังกล่าวได้เดินทางมาถึงบ้านเกิดของแมคควีนในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในปี 2015 และกลายเป็นนิทรรศการที่ทำลายทุกสถิติของ Victoria & Albert Museum

 

 

Savage Beauty กลายเป็นนิทรรศการในตำนานของ V&A ที่มียอดจำหน่ายบัตรเข้าชมล่วงหน้าไปเกือบหนึ่งแสนใบ และยังเป็นนิทรรศแรกที่เปิดให้เข้าชมตลอด 24 ชั่วโมง มีผู้ชมหลากหลายจาก 87 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งเนื้อหาทางเว็บไซต์ยังได้รับการเข้าชมมากกว่า 3.5 ล้านครั้ง นี่อาจเป็นเสียงตอบรับและเครื่องยืนยันว่าแฟนๆ ยังคงให้เกียรติและคิดถึงดีไซน์เนอร์อัจฉริยะคนนี้มากเพียงใด

ถึงแม้ในวันนี้เราจะไม่มีโอกาสได้เห็นผลงานใหม่ๆ จากชายที่ชื่อ ลี อเล็กซานเดอร์ แมคควีนอีกแล้ว  แต่ตำนานและความสามารถเฉพาะตัวยังคงตอกย้ำให้โลกระลึกถึงเขาอยู่เสมอ ผ่านผลงานของแบรนด์ Alexander McQueen ที่เขาก่อตั้ง ผ่านนิทรรศการที่บอกเล่าแรงบันดาลใจในสิ่งที่เขาทำ และผ่านภาพยนตร์สารคดีที่นำเสนอแง่มุมส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน แมคควีนคือศิลปินตัวจริงที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครก้าวไปถึงจุดที่เขาอยู่ได้ จุดที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง จริงใจ มุ่งมั่น และทุ่มเทในสิ่งที่ทำ จนสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นความรักที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกได้เช่นกัน

 

28x40in_Thai-721x1030

 

“No one discovers McQueen, McQueen discovers himself.”

 

แหล่งข้อมูล:

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.