เครื่องประดับไม่เพียงแต่ทำหน้าที่สร้างภาพลักษณ์หรือนำเสนอตัวตนของผู้สวมใส่เท่านั้น หากแต่ยังช่วยยกระดับความสุขทางใจให้แก่ผู้ได้รับอีกด้วย บ่อยครั้งที่เครื่องประดับถูกใช้ในฐานะของขวัญแทนความรู้สึก กลายเป็นเครื่องมือที่แสดงความรัก ความห่วงใย และความผูกพันในหลายโอกาส เช่นเดียวกับแบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงอย่าง Van Cleef & Arpels ที่มีต้นกำเนิดจากความรักระหว่างชายหญิงคู่หนึ่ง ที่ ณ วันนี้ได้ส่งต่อความสุขไปยังผู้คนทั่วโลก Van Cleef & Arpels เกิดจากนามสกุลของ Alfred Van Cleef (อัลเฟรด วอง คลีฟ) ลูกชายช่างเจียระไนพลอย และ Estelle Arpels (เอสแตล อาร์เพล) ลูกสาวพ่อค้าขายอัญมณี ทั้งคู่พบรักและแต่งงานกันในปี 1895 จากนั้นจึงก่อตั้งแบรนด์เครื่องประดับ Van Cleef & Arpels ขึ้นด้วยความฝันที่อยากจะสร้างบางอย่างร่วมกันให้คงอยู่ตลอดไป อัลเฟรดได้ผลักดันแบรนด์เครื่องประดับนี้ร่วมกับน้องชายทั้งสามของเอสแตล จนสามารถเปิดหน้าร้านสาขาแรกในย่าน Place Vendôme ได้สำเร็จ ซึ่งปัจจุบันบริเวณนี้กลายเป็นแหล่งรวบรวมแบรนด์เครื่องประดับสุดหรู ณ ใจกลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นอกจากความรักจะเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์แล้ว…
Category: Speak Jewellery
Romeo & Juliet
ความรักนิรันดร์ในวรรณกรรมคลาสสิคมักถูกหยิบยกมาพูดถึง ทำซ้ำ หรือดัดแปลงในสื่อรูปแบบต่างๆ เสมอ ไม่เว้นแม้แต่วงการเครื่องประดับ ที่เปรียบเสมือนการใช้สัญลักษณ์แทนใจอธิบายความรู้สึกได้แม้ไร้คำพูด เช่นเดียวกับแบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Van Cleef & Arpels (แวนคลีฟแอนด์อาเพล) ที่นำแรงบันดาลใจจากเรื่องราว นิทานปรัมปรา และวรรณกรรมในแต่ละยุคสมัยมาถ่ายทอดเป็นชุดงานเครื่องประดับอยู่เสมอ ในปี 2019 VC&A ได้หยิบเรื่องราวของ Romeo & Juliet (โรเมโอกับจูเลียต) ที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักเป็นอย่างดีมาปัดฝุ่นใหม่ หลังจากที่เคยออกคอลเลคชั่นชื่อเดียวกันนี้เมื่อปี 1951 เรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักที่เกิดขึ้นระหว่างหนุ่มสาวจากตระกูลคู่อริ โรเมโอ มอนตาคิว และจูเลียต คาปูเลต กับฉากหลังเมืองเวโรน่า หนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมากที่สุดในประเทศอิตาลี สิ่งเหล่านี้ได้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างสรรค์คอลเลคชั่น High Jewelry collection ประจำปี 2019 ของ Van Cleef & Arpels เริ่มจากตัวละครหลักทั้งสอง ที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างและมีพัฒนาการจากโรเมโอกับจูเลียตในปี 1951 โดยในฉบับปี 2019 นี้ VC&A สามารถถ่ายทอดลักษณะท่าทาง อากัปกริยา และอารมณ์ของตัวละครได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ในการเลือกโทนสีโลหะและการตกแต่งอัญมณีส่วนต่างๆ…
Cartier, a jeweller of Kings and King of jewellers
“ช่างทองหลวงของพระราชา และราชาแห่งช่างทองทั้งปวง” ประโยคข้างต้นเป็นคำกล่าวของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักรถึง Cartier (การ์คทิเยร์ หรือคาร์เทียร์ตามความคุ้นปากของคนไทย) แบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงที่ในวันนี้มีอายุเกือบสองร้อยปี คาร์เทียร์ก่อตั้งในปี 1847 ณ กรุงปารีส โดย Louis-François Cartier (หลุยส์-ฟรองซัวส์ การ์คทิเยร์) โดยเริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจครอบครัว ซึ่งในปีเดียวกันลูกชายของหลุยส์-ฟรองซัวส์ Alfred Cartier (อัลเฟรด การ์คทิเยร์) เป็นช่างทองคนแรกที่สามารถรังสรรค์เครื่องประดับโดยใช้แพลทินัมเป็นวัสดุได้สำเร็จ เพราะในอดีตแพลททินัมเป็นโลหะมีค่าราคาสูงแต่ไม่นิยมนำมาขึ้นตัวเรือนเครื่องประดับ เนื่องจากมีระดับความแข็งที่ยากต่อการขึ้นรูป จึงทำให้ชื่อเสียงของคาร์เทียร์เป็นที่ยอมรับและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในยุคสมัยนั้น คาร์เทียร์เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากขึ้น เมื่อลูกชายทั้งสามของอัลเฟรดเข้ามามีบทบาทในการดูแลแบรนด์ หลุยส์ ปิแอร์ และฌาร์ค การ์คทิเยร์ ได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อศึกษางานเครื่องประดับและสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าผู้มั่งคั่ง ส่งผลให้คาร์เทียร์มีหน้าร้านทั้งในประเทศรัสเซีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา หนึ่งในลูกค้ากิตติมศักดิ์ที่เรียกใช้คาร์เทียร์มาอย่างยาวนานคือเหล่าราชวงศ์ชั้นสูงจากประเทศต่างๆ โดยมีจุดเริ่มต้นในปี 1901 เมื่อสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดร้าในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงมีรับสั่งให้คาร์เทียร์ออกแบบสร้อยพระศอที่ดูเข้ากันกับชุดสไตล์อินเดียที่พระองค์ได้รับถวายมา คาร์เทียร์จึงเลือกใช้อัญมณีสีสันสดใสและเจียระไนเลียนแบบรูปทรงพืชพันธุ์ในธรรมชาติเขตร้อน จนกลายเป็นผลงานต้นแบบของเครื่องประดับชุด Tutti Frutti อันโด่งดังที่ได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่ปรากฏสู่สายตาคนทั่วไปภายใต้ชื่อ Tutti Frutti Collection…
In remembrance of Wendy Ramshaw
Who is Wendy Ramshaw? เวนดี้ แรมชอว์อาจไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูของคนทั่วไป แต่สำหรับนักเรียนสาขาวิชาออกแบบเครื่องประดับ พวกเรารู้จักและจดจำเธอได้ตั้งแต่คาบแรกๆ ที่เข้าเรียน เพราะชื่อเสียงและผลงานของเธอมักถูกยกขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่างเสมอ Neckpiece for Picasso’s ‘Portrait of a woman’ Title: ‘Air’, from Wendy’s exhibition ‘Journey Through Glass’. Date: 2007. Materials: Glass and 18ct gold. Photo credit: Graham Pym Title:‘Chain of Glass Tears for Weeping Woman’. Date: 1998 . Materials: Glass and blackened steel, series of…
Breakfast at Tiffany’s
แทบไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อของ Breakfast at Tiffany’s ภาพยนตร์แจ้งเกิด Audrey Hepburn ในบทบาทของ Holly Golightly สาวน้อยที่หลงใหลในเครื่องประดับของ Tiffany & Co. อันเป็นที่มาของฉากในตำนานที่เธอไปยืนดื่มกาแฟและเคี้ยวขนมปังอยู่หน้าร้าน และถึงแม้จะผ่านเวลามานานกว่า 50 ปี ทุกวันนี้ยังคงมีแฟนๆ ไปถ่ายรูปและทำท่าทางตามเธออยู่เสมอ ข่าวดีก็คือ ปลายปี 2017 ที่ผ่านมา บริเวณชั้นล่างของร้าน Tiffany & Co. สาขาใหญ่ที่นิวยอร์คได้เปิดบริการให้ลูกค้าเข้าไปรับประทานอาหารเช้าได้จริงๆ โดยให้ชื่อสถานที่นี้ว่า Blue Café ที่ซึ่งทุกอย่างถูกเนรมิตขึ้นด้วยสีฟ้าประจำตัวของ Tiffany’s หรือที่เรียกว่า Tiffany Blue นั่นเอง Tiffany Blue คือเฉดสีฟ้าเฉพาะตัวของ Tiffany & Co. โดยมีการกำหนดค่าสี Pantone อยู่ที่หมายเลข 1837 ซึ่งตรงกับปีที่ Tiffany & Co. ก่อตั้งขึ้น สีฟ้านี้ได้ถูกนำไปใช้ในทุกสิ่งและทุกสื่อที่ Tiffany’s นำเสนอสู่สายตาชาวโลก ทั้งปรากฏอยู่บนบรรจุภัณฑ์…
Love saves the Bees
ยังคงเกาะกระแสงานแต่งงานครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างเจ้าชายแฮร์รี่แห่งราชวงศ์อังกฤษและเมแกน มาร์เคิล ดารานักแสดงสาวชาวอเมริกัน ในโพสนี้ เราขอพูดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจแต่อาจถูกมองข้ามไปในพิธีเสกสมรส เพราะสื่อส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการจัดลำดับการแต่งกายของแขกในงาน การเปรียบเทียบระหว่างสะใภ้เจ้าทั้งสอง และเครื่องประดับราชวงศ์ที่ดัสเชสแห่งซัสเซกส์จะเลือกสวม รวมไปถึงการตกแต่ง St. George’s Chapel สถานที่จัดงานที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยสัญลักษณ์ที่มีความหมาย หนึ่งในนั้นคือการช่วยเหลือผึ้งที่กำลังจะสูญพันธุ์ด้วยการประดับไม้ดอกในงานแต่งงาน! ฟังดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่หลายปีมานี้ประเด็นเรื่องการใกล้สูญพันธุ์ของผึ้ง (Honey Bee) เป็นปัญหาระดับโลก เพราะสิ่งที่จะตามมาหากไม่มีผึ้งแล้วอาจทำให้มนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ เนื่องจากผึ้งทำหน้าที่ผสมเกสรดอกไม้และพืชพันธุ์กว่า 70% ที่มนุษย์บริโภคเป็นอาหารนั่นเอง ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ผึ้งใกล้สูญพันธุ์เกิดจากปัญหาการใช้สารเคมี ที่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้าง และคร่าชีวิตผึ้งงานอย่างรวดเร็ว ประเด็นนี้กลายเป็นที่สนใจในวงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่วงการแฟชั่นที่มีเส้นใยฝ้ายเป็นตัวการสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงเนื่องจากผึ้งเป็นสิ่งมีชีวิตที่คอยผสมเกสรให้ต้นฝ้ายเจริญเติบโตจนสามารถนำมาถักทอเป็นผืนผ้า ในวงการเครื่องประดับเองก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อกระแสนี้ ในการคาดการณ์ Trend การออกแบบ Gems Vision ประจำฤดูร้อนและฤดูใบไม้ปี 2019 ของ Swarovski นั้นได้มีการนำ element ของผึ้งมาใช้และนำเสนอในรูปแบบการสวมใส่ที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งหลายแบรนด์ได้นำรูปทรงของผึ้งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน Collection ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะนอกจากจะสื่อความหมายถึงการอนุรักษ์พันธุ์ผึ้งให้อยู่รอดต่อไป ตัวผึ้งเองยังเป็นสัญลักษณ์และตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังถ่ายทอดอารมณ์ความสดใสตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดี Pandora Shine…
Royal Wedding Fashion
นอกจากชุดแต่งงานและเทียร่าของเมแกน มาร์เคิลที่ผู้คนทั่วโลกต่างตั้งตารอดูแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือแฟชั่นของเหล่าผู้เข้าร่วมงานในพิธีเสกสมรสครั้งประวัติศาสตร์นี้ เพราะนอกจากจะได้เห็นการแต่งตัวที่ไม่ธรรมดาของแต่ละคนแล้ว ยังจะได้เห็นความสามารถในการประยุกต์รสนิยมส่วนบุคคลเข้ากับธรรมเนียมอนุรักษ์นิยมตามฉบับผู้ดีชาวอังกฤษอีกด้วย เพราะในการออกงานของชาวอังกฤษนั้นมาพร้อมกับธรรมเนียมปฏิบัติที่เคร่งครัดเสมอ! การเป็นแขกในงานแต่งงานช่วงเช้าหรือพิธีในโบสถ์นั้น ตามธรรมเนียมปฏิบัติ สุภาพสตรีชาวอังกฤษจะต้องสวมหมวก และหากเป็นเหล่าราชวงศ์จะพ่วงด้วยการสวมถุงมือสีขาวยาวถึงข้อศอกพร้อมด้วยพระมาลา (หมวก) แต่ภายหลังธรรมเนียมปฏิบัตินี้ดูจะผ่อนปรนลงไปบ้าง สังเกตได้จากในพิธีเสกสมรสของดยุกและดัสเชสแห่งซักเซกส์ที่ผ่านมา ราชวงศ์ที่ยังสวมถุงมือสีขาวมีเพียงสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบ็ธที่ 2 พระองค์เดียวเท่านั้น ในขณะที่ทางฝั่งสุภาพบุรุษ การใส่สูทในพิธีช่วงเช้านั้นก็มีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นกัน โดยจะต้องเป็นสูทยาวมีหาง แบบเดียวกับการแต่งกายไปชมการแข่งม้าหรือที่เรียกว่า Royal Ascot อันโด่งดังของประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ยังต้องสวมเสื้อกั๊ก (waistcoat) ด้านในพร้อมเนคไทในสีสันที่เหมาะสม ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วการเลือกสีสูทในพิธีการช่วงเช้านั้นมีชื่อเรียกสีเฉพาะว่า Morning Grey โดยจะเป็นสีเทาโทนที่อ่อนกว่าสูทออกงานกลางคืน พูดถึงเรื่องสี จะสังเกตได้ว่าแขกในพิธีเสกสมรสครั้งนี้ หลายคนเลือกสวมสีน้ำเงินเพราะนอกจากจะเป็นสีสุภาพแล้ว ยังค่อนข้างปลอดภัย ไม่ตกเป็นหนึ่งในรายชื่อการแต่งกายยอดแย่ในโพลที่มักจะถูกจัดลำดับตามงานสังคมต่างๆ อย่างไรก็ตามการแต่งกายที่เหมาะสมในการไปงานแต่งงานนั้นควรสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส เพื่อแฝงความหมายถึงการอวยพรให้ความรักของคู่บ่าวสาว เช่นเดียวกันกับดอกไม้ที่ใช้ตกแต่ง งานแต่งงานตามธรรมเนียมอังกฤษนั้นมักใช้ดอกไม้สีส้ม โดยต้องเป็นสีส้มสด หรือเหลืองสด อีกทั้งยังมีกิมมิกเล็กๆ อย่างการใช้สัญลักษณ์ของผึ้งแทนความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ เปรียบเสมือนการอวยพรให้ครอบครัวมีแต่ความสุขและมีทายาทโดยไว นอกจากนี้การแต่งกายของสุภาพสตรียังเน้นชุดเดรสตามธรรมเนียมปฏิบัติ กล่าวคือในพิธีการช่วงเช้าจะแต่งกายสุภาพ ไม่เปิดเนื้อหนังให้เห็นมากนัก และใส่กระโปรงที่ยาวคลุมเข่าแต่ไม่ยาวลากพื้น เพราะการใส่กระโปรงยาวนั้นเป็นธรรมเนียมของการออกงานกลางคืน…
Beautiful tiara in the Royal Wedding
เรียกว่าพลิกทุกโผที่เคยทำนายถึงเทียร่าที่เมแกน มาร์เคิล หรือตำแหน่งปัจจุบัน The Duchess of Sussex หมาดๆ จะเลือกสวมในพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายแฮร์รี่แห่งราชวงศ์อังกฤษ ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวการแต่งงานของทั้งคู่นั้นอยู่ในความสนใจของคนทั้งโลก เห็นได้จากยอดการถ่ายทอดสดที่กระจายไปทั่วทุกทวีป โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาประเทศบ้านเกิดของดัสเชสที่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้มากจนมีการออกอากาศเกือบทุกช่อง ก่อนหน้านี้ข่าวการสวมเทียร่าของเมแกนนั้นได้มีการคาดเดากันไว้มากมาย เนื่องจากเทียร่าเป็นเครื่องประดับสำคัญในพิธีแต่งงาน และสมบัติของราชวงศ์อังกฤษนั้นมีมหาศาล ทำให้เกิดการวิเคราะห์ว่าเจ้าหญิงพระองค์ใหม่ของอังกฤษจะเลือกหรือได้รับพระราชทานเทียร่าชิ้นใดในวันสำคัญนี้ จากกระแสหลัก ทุกสื่อต่างลงความเห็นว่าเมแกนน่าจะสวมเทียร่าของเจ้าหญิงไดอาน่าในพิธีสำคัญ แต่กลับพลิกโผเมื่อดัสเซสแห่งซัสเซกส์ปรากฏกายพร้อมกับเทียร่าที่ไม่ได้เห็นมานานร่วม 60 ปี Diamond Bandeau Tiara หรือ Filigree Tiara ชิ้นนี้ ในอดีตเคยเป็นของขวัญที่พระราชินีแมรี่ได้รับพระราชทานเนื่องในวันแต่งงาน โดยพระองค์มีศักดิ์เป็นย่าของควีนอลิซาเบ็ธที่ 2 ผู้ปกครองประเทศอังกฤษและเครือจักรภพในปัจจุบัน ความพิเศษของเทียร่าชิ้นนี้คือสามารถดึงเพชรเม็ดกลางออกมาใช้เป็นเข็มกลัดได้ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเครื่องประดับราชวงศ์ ที่ไม่เพียงแต่มีลักษณะการใช้งานจำเพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสามารถถอดประกอบ ดัดแปลง และนำไปใช้ออกงานที่แตกต่างกันได้ด้วย ที่มา: The Sun ตามธรรมเนียมของราชวงศ์อังกฤษเทียร่าเปรียบได้กับสิ่งที่อยู่คู่กับพิธีเสกสมรสเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการเลือกหรือการได้รับพระราชทานเทียร่าชิ้นใดนั้นจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ ในโพสนี้จึงขอย้อนดูความสวยงามและความร่ำรวยของราชวงศ์อังกฤษว่ามีเทียร่าชิ้นใดในครอบครองบ้าง และเจ้าสาวพระองค์ใดได้สวมใส่ในวันสำคัญของตน Kate Middleton, The Duchess of Cambridge…
The Natural Projects by HEMMERLE
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ธรรมชาติ นั้นเป็นแรงบันดาลใจหลักของนักออกแบบเครื่องประดับมาทุกยุคทุกสมัย ดังปรากฏให้เห็นในประวัติศาสตร์ศิลปะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าวิวัฒนาการความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด ต่อให้มีการค้นพบเทคนิคใหม่ๆ หรือการทดลองใช้วัสดุสังเคราะห์ต่างๆ เราจะยังเห็นรูปทรงของเครื่องประดับตลอดจนสีสันของอัญมณีนั้นมีการลอกเลียนความงามจากธรรมชาติอยู่เสมอ จากความทับซ้อนของแรงบันดาลใจที่มานี้เอง ที่ทำให้แต่ละแบรนด์ต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อจะสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์เฉพาะขึ้น จากรูปทรงธรรมดาที่พบเห็นทั่วไปตามธรรมชาติ พืชพันธุ์ ดอกไม้ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถูกหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับนักออกแบบคือการดึงเอาเสน่ห์ของแบรนด์นั้นๆ มาผสมผสานกับความเรียบง่ายตามธรรมชาติ และสร้างสรรค์เป็นเครื่องประดับที่บ่งบอกตัวตนของผู้สวมใส่ให้ดีที่สุด เช่นเดียวกับ Hemmerle แบรนด์เครื่องประดับสัญชาติเยอรมัน (อ่านออกเสียงแบบเยอรมันว่า เฮมแมร์เลอร์) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 125 ปี ที่สำคัญ Hemmerle เป็นกิจการที่สืบทอดกันมาในครอบครัว ปัจจุบันนี้ดำเนินการโดยทายาทรุ่นที่ 4 แล้ว และสิ่งที่ทำให้ Hemmerle โดดเด่นมากคือการเลือกใช้รูปทรงจากธรรมชาติ โดยหยิบเอาผลิตผลใกล้ตัวมาออกแบบเป็นเครื่องประดับ แต่ซ่อนความพิเศษด้วยรายละเอียดที่รังสรรค์ขึ้นจากช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เครื่องประดับของ Hemmerle มีกลิ่นอายที่แตกต่างจากแบรนด์เยอรมันและแบรนด์อื่นๆ ทั่วไป อีกหนึ่งเทคนิคที่โดดเด่นของ Hemmerle คือการฝังพลอยกลับด้าน หรือที่เรียกว่า Reverse Stone Setting เป็นการฝังอัญมณีแบบหันด้านแหลมขึ้นบน และเอาหน้าพลอยฝังลงไปในตัวเรือนแทน ซึ่งเริ่มต้นจากความต้องการที่จะเลียนแบบพื้นผิวแหลมคมของสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ลักษณะเฉพาะตัวของสัปปะรด และหนามที่เป็นเอกลักษณ์ของทุเรียน โดยมากเครื่องประดับที่ใช้เทคนิคนี้จะเป็นต่างหู…
Jewels by JAR
หากใครเคยไปเที่ยวกรุงปารีส เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ย่อมรู้จักและอาจเคยมีโอกาสสัมผัสกับย่าน Place Vendôme ใจกลางเมือง อันเป็นที่ตั้งของร้านขายเครื่องประดับหลากหลายแบรนด์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีราคาสูง ชื่อคุ้นหู และมีสาขาทั่วโลก ไม่ว่าจะแบรนด์ใหญ่อย่าง Cartier, Van Cleef & Arpels หรือแบรนด์แฟชั่นอย่าง Chanel และ Louis Vuitton ท่ามกลางบรรดาร้านเครื่องประดับสุดหรูเหล่านั้น หากไม่ทันสังเกตอาจเดินผ่านเลยไป กับร้านที่มี window display เป็นเครื่องประดับเพียง 1 ชิ้น และป้ายที่บอกชื่อแบรนด์ว่า JAR อยู่ด้านบน ที่มา: Christopher Niquet JAR (อ่านว่า จาร์) เป็นใครมาจากไหน ทำไมจึงมีหน้าร้านอยู่บนถนน Place Vendôme สุดหรูได้ แต่กลับใช้พื้นที่บริเวณนี้จัดหน้าร้านเหมือนกับปิดไว้ ราวกับไม่ต้องการต้อนรับลูกค้า และไม่พยายามจะนำเสนอเครื่องประดับใดๆ ออกสู่สายตาคนภายนอก สร้างความน่าสงสัยในตัวตนของแบรนด์ยิ่งนัก เพราะนอกจากจะมีหน้าร้านเพียงแห่งเดียว JAR ไม่มีแม้กระทั่ง official website, ช่องทาง social media หรือกระทั่ง Facebook…
Speak Jewellery
My intention towards this blog is getting bigger. Can’t believe it has been more than 2 years since it all started. My first goal for it since I was a museum worker was to visit as many museums as possible (if you remember, I said I would visit 100 museums, what was I thinking?). Then…