วันที่สองในรัสเซีย แพลนวันนี้คือออกนอกเมืองเป็นครั้งแรก เพื่อเดินทางไปยังเมือง Sergiev Posad (เซอร์จิเยฟ โปสาด -ไม่แน่ใจว่าออกเสียงถูกไหม) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวทางศาสนาที่สำคัญ หากใครมามอสโกแล้วมีเวลาเหลือก็อยากให้ได้ไปเยือน
อย่างที่บอกว่ารัสเซียมีศาสนาประจำชาติคือ คริสตศาสนานิกายออร์โธด็อกซ์ ซึ่งเราพบว่าคนที่นี่ให้ความศรัทธาและเลื่อมใสมาก เพราะสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มักมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ และทุกแห่งที่ไปจะเจอชาวรัสเซียที่ตั้งใจเดินทางมาสักการะ และเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาจำนวนมาก โดยไม่สนใจเลยว่ารอบข้างจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหรือไม่ บวกกับช่วงเวลาที่เราไปนั้นใกล้กับเทศกาลอีสเตอร์ ยิ่งทำให้ภาพของศาสนาที่อยู่ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านนั้นชัดเจนขึ้นไปอีก
Lomo LC-A with Kodak pro image 100
เซอร์จิเยฟ โปสาดห่างจากมอสโกเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง วิธีการเดินทางเริ่มจากรถไฟใต้ดินสถานี Komsomolskaya สายสีน้ำตาล ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีที่สวยที่สุดในมอสโก เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟที่เราจะไป แต่เมื่อขึ้นมาแล้วจะพบสถานีรถไฟ 2 แห่ง ได้แก่ Leningradsky และ Yaroslavskaya ซึ่งไปกันคนละทิศทาง หากเราจะไปเซอร์จิเยฟโปสาดนั้นต้องเลือก Yaroslavskaya railway station ซึ่งถ้าขึ้นมาจากรถไฟใต้ดินแล้วจะอยู่ทางขวามือ
รีบสำรวจว่าพนักงานคนไหนที่หน้าตาดูใจดี มีความอดทน เหมาะที่จะให้ความร่วมมือ เพราะพวกเขาไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ในขณะที่พวกเราก็ไม่ประสาภาษารัสเซีย ฉะนั้นการสนทนาครั้งนี้จะต้องใช้ความพยายามทาง body language และทักษะการพิมพ์ google translate ด้วยความเร็วสูง โชคดีที่คุณป้าที่ขายตั๋วให้เราน่ารักมาก ใจเย็น มีความพยายามในการสื่อสาร ถึงแม้ป้าจะพูดรัสเซียล้วนก็ตาม แต่การสื่อสารด้วย google translate และการเขียนตัวเลขเวลากับราคาของป้าก็ผ่านไปได้ด้วยดี เว้นแต่รถไฟที่ป้าบอกกำลังจะออกในอีก 3 นาทีข้างหน้า! ถึงอย่างนั้นเราก็ยังคอนเฟิร์มกับป้าจนได้ตั๋วแบบไป-กลับมา และรู้ว่าต้องไปดูเวลากลับที่นู่นเอาเอง เพราะ.. เอ่อ เพราะป้าบอกมาแบบนี้
Pentax MX with Kodak color plus 200
ตั๋วรถไฟที่นี่จะหน้าตาเหมือน receipt จากร้านสะดวกซื้อ ต้องเก็บไว้ให้ดี เพราะจะมีพนักงานขึ้นมาตรวจ และเราซื้อแบบไป-กลับมา ต้องเก็บไว้สำหรับขากลับด้วย การเดินทางบนรถไฟในรัสเซียนั้นมีความน่ารักอยู่อย่าง คือจะมีชาวบ้านขึ้นมาขายของตลอดทาง เหมือนรถไฟชั้นสามบ้านเรา แต่ของที่ขายนี่วาไรตี้มาก มีตั้งแต่อัลบั้มใส่รูป ที่ชาร์ตแบตมือถือ ไปจนถึงสติ๊กเกอร์แบบเด็กๆ ที่แปลกก็คือเขาขายได้ เพราะมีคนซื้อจริงๆ นอกจากขายของแล้วบางทีก็มีนักดนตรีขึ้นมาร้องเพลงด้วย ซึ่งอย่างหลังนี้ดูจะถูกอกถูกใจผู้โดยสารไม่น้อย เพราะร้องตามกันได้ แถมหยิบยื่นเงินให้นักดนตรีทันทีที่ร้องจบ
Pentax MX with Agfa Vista 200
เมื่อลงจากรถไฟแล้วยังต้องเดินต่อไปอีก เพราะยังไม่ถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ตั้งใจมา โดยเมืองนี้เป็นที่ตั้งของ Trinity Lavra of St. Sergius ซึ่งเป็นอาสนวิหารระดับสูงของคริสตศาสนานิกายออร์โทด็อกซ์ ตั้งตามชื่อของนักบุญเซนต์เซอร์เจียสที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นผู้วิเศษ สามารถรักษาโรคร้ายให้หายเป็นปกติได้จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ทำให้ศาสนสถานแห่งนี้กลายเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาของชาวรัสเซีย แม้กระทั่งพระมหากษัตริย์และพระราชินียังเสด็จมาประกอบพิธีทางศาสนาที่เมืองนี้เป็นประจำ
ในยุคสหภาพโซเวียต เมืองเซอร์จิเยฟ โปสาดแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Zagorsk (ซาร์กอส) ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิม ซึ่งสำหรับชาวรัสเซียที่นับถือนิกายออร์โธด็อกซ์แล้ว ที่นี้มีความสำคัญเทียบเท่าวาติกันเลยทีเดียว
Pentax MX with Agfa Vista 200
ระหว่างทางที่เดินมาที่ทรินิตี้นี้บังเอิญเจอคนไทยคู่หนึ่ง เลยรวมทัวร์กันกลายเป็นมาเที่ยว 4 คน ข้อดีก็คือทำให้เรากับแม่ได้มีรูปคู่แบบสวยๆ ตามแลนด์มาร์กต่างๆ ข้อเสียก็คือการต้องรอกันไปมา ทำให้ค่อนข้างเสียเวลา ซึ่งสำหรับเรา ชอบการเที่ยวแบบเดี่ยวๆ ไปกันเองสองคนมากกว่าเป็นกลุ่ม
เมื่อซื้อตั๋วที่อาคารหลังสวยตรงข้ามกับ Trinity Lavra of St. Sergius แล้วก็ข้ามฝั่งเข้าไปชมได้เลย ด้านในประกอบไปด้วยอาคารทางศาสนาหลายหลังรวมกันอยู่ เช่น วิหารทรินิตี้ โบสถ์อัสสัมชัญ หอระฆังที่มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านหน้า และวังของพระเจ้าซาร์เมื่อเสด็จมาประกอบพิธีที่นี่ พื้นที่โดยรวมไม่กว้างมากนัก เดินไม่นานก็ครบ ในบรรดาผู้คนที่เดินทางมาที่นี่นั้น มองด้วยตาก็สามารถแบ่งประเภทได้อย่างชัดเจน คือหนึ่ง คนรัสเซียที่ตั้งใจมาเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา และสอง นักท่องเที่ยวหัวดำที่ในมือยกกล้องถ่ายรูปตลอดเวลา แน่นอนว่าเราคืออย่างหลัง
Pentax MX with Kodak color plus 200
ขากลับก็เชคตารางรถไฟที่สถานี ซึ่งมีรถไฟวิ่งไปมอสโกแทบจะทุกๆ สิบห้านาที ซึ่งความจริงแล้วแต่ละขบวนนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ แต่ด้วยกำแพงทางภาษา ทำให้เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ขบวนไหนไม่ใช่รถไฟหวานเย็น ที่วิ่งไปเรื่อยๆ แวะทุกสถานี เพราะที่ตารางก็บอกแต่เวลาออก ไม่เขียนเวลาถึงกำกับไว้ด้วย และขากลับนี้แหละที่ช้ากว่าขาไปมาก กว่าจะกลับถึงมอสโกก็เย็นย่ำปาไปกว่าห้าโมงเย็นแล้ว
Pentax MX with Kodak color plus 200
หลังจากกลับถึงมอสโก ด้วยความที่ฟ้ามืดประมาณเกือบสองทุ่ม เลยคิดว่าจะเดินเล่นเก็บสถานที่ต่างๆ ในมอสโกแล้วกัน มาโผล่ที่สถานี VDNKh ซึ่งใกล้ๆ จะมีพิพิธภัณฑ์อวกาศและปฏิมากรรมรูปจรวด แต่ดันไปโผล่ผิดฝั่ง เลยมาเจอกับโบสถ์สีแดงด้านบนซะก่อน สังเกตว่าโบสถ์ของรัสเซียจะมีลักษณะเป็นรูปโดม และมีการตกแต่งด้วยรูปดาว ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความหมายพิเศษหรือเปล่า แต่เท่าที่เห็นสิ่งที่น่าสนใจคือการใช้คู่สีที่ดูลงตัว บางครั้งถึงกับดูน่ารักด้วยซ้ำไป อย่างสีพาสเทลก็พบบ่อยในอาคารหลายแห่ง ดูตัดกันดีกับหน้าบึ้งๆ ของคนรัสเซียอยู่เหมือนกัน
สองวันที่ผ่านมาพบความจริงอย่างหนึ่งว่า คนรัสเซียทั่วไปนั้นมีความน่ารักในตัว ถึงแม้จะไม่แสดงออกมากนัก แต่ก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ กลับกันถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้วนั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงบึ้งตึงเหลือเกิน และให้ความช่วยเหลือได้น้อยมากๆ ถ้าไม่นับป้าคนขายตั๋วแสนใจดีคนแรกที่เจอ คนอื่นๆ แทบจะไม่ให้ความร่วมมือเลย เรียกว่าต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมมาแต่แรก เพราะถ้าไปยืนๆ งงๆ นอกจากจะไม่ได้รับความช่วยเหลือแล้ว อาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกต่างหาก