Day 6 Church of Savior on the Spilled Blood, Hermitage Museum & St. Isaac’s Cathedral

เช้าวันนี้ยังคงเห็นร่องรอยของพายุหิมะเมื่อวาน สีขาวๆ ของหิมะช่างตัดกันดีกับสีสันของตึกและอาคารในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เท้าความกันสักนิด เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแห่งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการส่วนพระองค์ของพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 ที่ต้องการจะสร้างเมืองที่แสดงออกถึงอำนาจของรัสเซีย และเป็นประตูเปิดสู่ความศิวิไลซ์อย่างประเทศทางฝั่งยุโรป โดยพระองค์ได้ย้ายเมืองหลวงจากกรุงมอสโกมายังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1724

โดยในการสร้างเมืองครั้งนั้นสูญเสียคนงานไปจำนวนมาก ทั้งจากโรคภัยและอุบัติเหตุ แต่ก็ไม่ทำให้ความตั้งใจของพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 ลดลง พระองค์ยังคงเดินหน้าพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยการนำช่างฝีมือจากฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน และสวิตเซอร์แลนด์ มาออกแบบเพื่อสร้างมหาวิหารและพระราชวังที่งดงามหลายแห่ง ตลอดรัชสมัยพระองค์ได้นำพารัสเซียให้เป็นที่รู้จักและได้รับการเถลิงพระเกียรติเป็น พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ในที่สุด

 

600414-Spilled-Blood-003-Fuji-color-100

Pentax MX with Fuji color 100

 

สถานที่แรกที่เรามาในวันนี้คือ Church of Savior on the Spilled Blood หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า The Resurrection of Christ Church คนไทยเรียกกันสั้นๆ ว่า โบสถ์หยดเลือด สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชบิดาของพระองค์ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ในเหตุการณ์ที่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ในบริเวณนี้จากการปาระเบิดของกลุ่มปฏิวัติ ภายในโบสถ์มีการกั้นบริเวณที่เกิดเหตุให้ชมด้วย

ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมรูปโดมหัวหอม มีลักษณะคล้าย St. Basil’s Cathedral ในกรุงมอสโก สร้างความสับสนให้นักท่องเที่ยวเป็นประจำ แตกต่างกันที่สีสันและรายละเอียด ส่วนตัวมองว่าเซนต์เบซิลมีความเทพนิยาย ในขณะที่โบสถ์หยดเลือดนั้นดูน่าเกรงขาม น่ายำเกรง และดูขลังกว่าเซนต์เบซิล

 

600414-Spilled-Blood-001-Fuji-color-100600414-Spilled-Blood-002-Fuji-color-100

Pextax MX with Fuji color 100

 

จากนั้นก็เดินเลียบคลองที่ตลอดเส้นเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ตั้งแต่ที่ติดตู้เย็นไปจนถึงหมวกเฟอร์กันหนาว สถานที่ถัดไปที่ตั้งใจไว้คือ The State Hermitage Museum สถานที่เก็บรวบรวมผลงานศิลปะอันเป็นสมบัติประจำชาติของประเทศรัสเซีย นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผลงานศิลปวัตถุมากกว่าสามล้านชิ้น ตามข้อมูลบอกว่าที่นี่มีคอลเลคชั่นภาพเขียนมากที่สุดในโลก

 

600414-Hermitage-001-Agfa-Vista-400600414-Hermitage-002--Agfa-Vista-400

Pentax MX with Agfa Vista 400

 

นอกจากความสำคัญต่อประเทศรัสเซียแล้ว State Hermitage Museum ยังมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศไทยด้วย ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสรัสเซียในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 พระองค์ได้ประทับ ณ ที่แห่งนี้ เช่นเดียวกับพระราชโอรสของพระองค์ เมื่อครั้งเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถได้เสด็จมาศึกษาต่อที่ประเทศรัสเซีย พระองค์ได้ประทับอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ และถ้าจะให้โยงมาถึงปัจจุบัน พระองค์ก็คือต้นตระกูลของนักร้องชื่อดัง ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ผู้สืบเชื้อสายไทยและรัสเซียมาจากเสด็จทวดองค์นี้นั่นเอง

 

600414-Hermitage-003-LOMO-Fuji-film-200

Lomo LC-A with Fuji color 200

 

ตามคำแนะนำของใครหลายคนบอกให้มาที่นี่ในเวลาเช้า เพราะจะเสียเวลาในการเข้าคิวนาน เคล็ดลับก็คือการซื้อตั๋วกับเครื่องอัตโนมัติด้านหน้าในราคา 600 รูเบิลเท่ากัน ต้องเล่าก่อนว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยของซาริน่าแคทเธอรีนที่ 2 โดยศิลปวัตถุจำนวนมหาศาลนั้นเปรียบได้กับของสะสมส่วนพระองค์ ที่พระนางได้กวาดซื้อไว้ในสมัยที่ยังมีพระชนม์ชีพ ความพิเศษคือที่นี่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปได้! (ห้ามใช้แฟลช)

ก่อนเข้าชมแนะนำให้เช่าเครื่อง audio guide (500 รูเบิล) จะได้แผนที่อาคารจัดแสดงและเลขห้องกำกับไว้ หากเลขไหนวงกลมสีแดงแปลว่ามีเนื้อหาให้กดรับฟังได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเดินตามเลขที่กำหนดไว้เท่านั้น เพราะตั้งแต่เดินเข้าไปก็เจอคนเดินสวนไปมาตลอด แต่ละห้องอลังการสมกับที่เคยเป็นพระราชวังมาก่อน การตกแต่งหรูหรา บางห้องมีกลิ่นอายของพิพิธภัณฑ์ลูฟท์และบางห้องเจอภาพที่ Peterhof มีเหมือนกันด้วย

 

600414-001600414-002

 

โดยส่วนตัวชอบอาคารจัดแสดง Grand Palace ของ Peterhof มากกว่า เพราะให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในอดีต แต่ละห้องตกแต่งอย่างหรูหรา สามารถแสดงและเล่าถึงอดีตเมื่อครั้งเหล่าราชวงศ์โรมานอฟยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ต่างกับ Hermitage Museum ที่ถึงแม้จะเป็นพระราชวังเหมือนกัน แต่นำเสนอผลงานศิลปะซึ่งเป็นคอลเลคชั่นส่วนตัวที่หาซื้อมาจากทั่วโลกของซาริน่าในยุคนั้น

กล่าวได้ว่า การเข้าชม Peterhof นั้นเปรียบได้กับการที่เราแอบเข้าไปดูความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของเหล่าราชวงศ์ในอดีต ว่าที่กินที่อยู่ของพวกเขาเป็นอย่างไร ส่วน Hermitage Museum คือการที่เราขอเข้าไปดูของสะสม ของที่เขานำเสนอรสนิยมส่วนตัวและความมั่งคั่งในช่วงเวลานั้น ที่สามารถเก็บรวบรวมงานศิลปะอันมีค่ามากมายเหล่านี้ไว้ได้

 

600414-014600414-003600414-004600414-013600414-015600414-005

 

เนื่องจาก The State Hermitage Museum นั้นจัดแสดงศิลปวัตถุจำนวนมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะดูทั้งหมดภายในเวลาหนึ่งวัน บางคนก็เลือกชมตามจุด highlight ที่ทางพิพิธภัณฑ์กำหนดไว้ เช่นภาพวาดฝีมือของลีโอนาร์โด ดาวินซี ที่มักจะเห็นไกด์พาลูกทัวร์มาหยุดชมเป็นพักๆ

แต่อีกหนึ่งไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้คือ นาฬิกานกยูง (Peacock Clock) สุดยอดกลไกที่ทั้งงดงามและซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง ด้วยตัวเรือนทำมาจากทองแดง ซึ่งต้องอาศัยทักษะของช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญ นอกจากจะสวยงาม ละเอียดอ่อน และอลังการมากแล้ว ยังซ่อนกลไลที่สามารถขยับได้แม้ในส่วนที่เล็กที่สุดอย่างเปลือกตาของนกฮูก ซึ่งการแสดงกลไกที่ว่านี้จะเปิดให้ชมเฉพาะวันพุธ ในเวลาหนึ่งทุ่มตรงเท่านั้น แต่ถ้าไปวันอื่นๆ ก็ไม่ต้องเสียใจเพราะทางพิพิธภัณฑ์จัดวิดีโอสาธิตการแสดงไว้ให้ชมข้างๆ ซึ่งเป็นจุดที่คนให้ความสนใจกันมาก

 

600414-006600414-007

 

The State Hermitage ทำเอาเกือบหมดแรง เหลือสถานที่สุดท้ายที่ตั้งใจจะไปชมในวันนี้ คือ St. Isaac’s Cathedral มีความสำคัญคือเป็นโบสถ์ออร์โธด็อกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และสร้างขึ้นในสมัยอเล็กซานเดอร์ที่ 1 โดยใช้เวลาก่อสร้างถึง 40 ปี เมื่อไปถึงก็งงกับการซื้อตั๋วเข้าชม ปัญหาเดิมก็คือพนักงานตามสถานที่ท่องเที่ยวของรัสเซียนั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือ บอกแต่ว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ขายตั๋ว จนมาถึงบางอ้อเมื่อเห็นป้ายว่า ที่ซื้อตั๋วอยู่บริเวณด้านข้างทางขวาที่เยื้องไปข้างหลัง

 

600414-008600414-009

 

นอกจากขายตั๋วเข้าชมโบสถ์แล้วมีการเปิดบริการให้ชมด้านบนโบสถ์หรือที่เรียกว่า Colonnade Walkway เหมาะสำหรับการชมวิวแบบ 360 องศา โดยก่อนขึ้นไปจะเห็นคำเตือนว่า Strong Wind ให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเองว่าจะขึ้นหรือไม่ ค่าเข้าชมโบถส์ราคา 250 รูเบิล ส่วนทางเดินด้านบน 150 รูเบิล

ทางขึ้นโหดเอาการ แต่ที่หนักกว่าคือทางลง เพราะนอกจากหิมะที่เพิ่งหยุดตกทำให้พื้นทางเดินค่อนข้างลื่น ทำให้มีคนตกบันไดเสียงดังทีเดียว ผู้มีอายุหน่อยต้องระมัดระวังอย่างมาก

 

600414-St-Isaac's-001-LOMO-Fuji-film-200

Lomo LC-A with Fuji film 200

 

หลังจากชมบรรยากาศโดยรอบจากด้านบนเสร็จ จึงเดินลงมาชมด้านในที่มีชื่อเสียงจากการตกแต่งด้วยโมเสกอย่างวิจิตรงดงาม และโดดเด่นจากการใช้แท่งเสามาลาไคท์สีเขียวต้นใหญ่อันเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเยี่ยมชม

นอกจากนี้ยังมีการแสดงขั้นตอนวิธีการก่อสร้าง ด้วยความรู้และวิทยาการในอดีตนั้น การจะนำเสาต้นใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักมหาศาลมาตั้งให้ตรงจุดที่ต้องการได้ถือเป็นเรื่องยาก จึงมีการใช้ความรู้ทางวิศวกรรมในการเคลื่อนย้ายและจัดวางเสาหินในพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่และล้ำยุคมากในสมัยนั้น ส่วนตัวชอบที่นี่เป็นพิเศษ ด้วยรายละเอียดของการตกแต่งด้านใน ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยไปหมด นี่แหละหนากุศโลบายที่เชื่อมผู้คนเข้ากับศาสนา ด้วยการสร้างอาคารสถานที่ให้ผู้ที่เข้ามารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งความเชื่อ และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจนั่นเอง

 

600414-010600414-011600414-012

 

ข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือ เที่ยวรัสเซีย โดย จารุภัทร์ ปานพรหมินทร์, หนังสือ ได้เวลาเที่ยวรัสเซีย โดย ดร. จิรัฎฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ และเว็บไซต์ official ของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก http://www.saint-petersburg.com

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.